สรุปข่าวไอทีที่น่าสนใจประจำวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2554 ครับ
Lenovo ชี้ตลาดคอมพ์อาเซียนหด 12% น้ำท่วมลดกำลังซื้อ – Hard Disk ขาด
Lenovo เผยน้ำท่วมไทยกระทบทั้งอาเซียน ฉุดยอดขายไตรมาส 4 ลด 40 − 50% โดยเฉพาะในไทยที่มีขนาดตลาดใหญ่เป็นอันดับ 2 แต่เชื่อปีหน้าฟื้นตัวกลับมา หวังโต 20% ชิงสัดส่วนในตลาดเพิ่มเป็น 10% เน้นลุยตลาดการศึกษา และกลุ่มคนที่เป็นผู้นำความคิดทางเทคโนโลยี
โค กอง เม็ง ผู้จัดการทั่วไปประจำภาคพื้นอาเซียน บริษัท เลอโนโว กรุ๊ป ให้ข้อมูลถึงภาพรวมตลาดของ Lenovo ในกลุ่มประเทศอาเซียน และไทยว่า ปัจจุบันไทยถือเป็นตลาดอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากอินโดเนเชีย ซึ่งจากวิกฤตการณ์น้ำท่วม ที่ส่งผลกระทบจากทั้งโรงงานฮาร์ดดิสก์ และกำลังในการซื้อของผู้บริโภค ทำให้รายได้รวมของ Lenovo ในกลุ่มประเทศอาเซียนปีนี้อาจไม่เติบโตเท่าที่คิด
“ข้อมูลจาก IDC คาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของคอมพ์ในอาเซียนช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจะเติบโตที่ราว 17% แต่หลังเหตุการณ์ปรับลดลงมาเหลือ 5% ซึ่งถ้ามองเฉพาะในไตรมาสที่ 4 ถือว่าตกลงจากเดิม 40 − 50% ดังนั้นวิกฤติการณ์ครั้งนี้จึงส่งผลกระทบแก่อาเซียนในวงกว้าง”
โดยตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นตลาดที่สำคัญแก่ Lenovo เนื่องจากยังมีการลงทุนของภาครัฐเกี่ยวกับการศึกษา ที่จะนำแท็บเล็ตเข้าไปใช้ เพื่อช่วยให้ประชาชน-นักเรียน เข้าถึงเทคโนโลยีมากขึ้น ขณะเดียวกันกำลังซื้อในส่วนของคอนซูเมอร์ก็ยังมีความต้องการอยู่
“ปีหน้าเชื่อว่า Lenovo จะสามารถโตได้ถึง 20% ในตลาดอาเซียน ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งตลาดจากเดิมที่มีอยู่ประมาณ 8% ขยับขึ้นไปเป็น 10% และส่งผลให้ขึ้นเป็นอันดับที่ 3 จากปัจจุบันอยู่ในอันดับที่ 4 โดยเชื่อว่าประเทศไทยจะฟื้นตัวได้เร็วหลังเหตุการณ์ดังกล่าว และกลับมามีอัตราการเติบโตที่ดีเหมือนที่คาดหวังไว้”
นายโค ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตลาดรวมของคอมพิวเตอร์ทั่วโลกตอนนี้อยู่ที่ราว 400 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ส่วนในประเทศที่พัฒนาแล้ว อัตราการเติบโตกลับลดลง โดยข้อมูลจากไอดีซีระบุว่า อัตราการเติบโตของคอมพ์ทั่วโลกยังอยู่ที่ 10%
นอกจากตลาดการศึกษาที่ล่าสุด Lenovo ได้มอบ Tablet A1 ให้แก่ สพฐ. เพื่อเข้าไปในโครงการนำร่อง 5 โรงเรียน จำนวน 600 เครื่องที่กำลังทยอยส่งมอบ และการเข้าไปติดต่อโดยตรงกับสถานศึกษาแล้ว Lenovo ยังจะเน้นไปที่การขยายตลาดไปยังตลาดต่างจังหวัด เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนตลาดในต่างจังหวัดของ Lenovo ยังต่ำมาก เมื่อเทียบกับสัดส่วนของตลาดรวม สุดท้ายคือตลาดของ SMB (องค์กรขนาดกลาง และขนาดย่อม) ที่ได้มีการตั้งทีมขึ้นมาดูแลในส่วนนี้ โดยเฉพาะ รวมกับมีผลิตภัณฑ์ที่จะออกมาตอบโจทย์ลูกค้าในกลุ่มนี้
Sony ได้ฤกษ์เปิดตัว “Tablet S” เกาะตลาด Tablet Fever !!!
Sony เปิดเกมรุกบุกตลาด Tablet เปิดตัว Sony Tablet S หวังเจาะกลุ่มวัยรุ่นที่ใช้งานด้านอินเทอร์เน็ต Social Network และเอนเตอร์เทนเมนต์ เคาะราคาจำหน่ายเริ่มต้น 14,900 บาท ตั้งเป้าปีหน้าขอส่วนแบ่งตลาด 10%
นายโทรุ ชิมิซึ กรรมการผู้จัดการบริษัท โซนี ไทย จำกัด กล่าวว่าในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาความนิยมในการใช้งาน Tablet กำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ Sony ก็เป็นผู้มาใหม่ในตลาด Tablet ซึ่งยอมรับว่าเรามาช้ากว่าคู่แข่งแบรนด์อื่นๆ แต่ยังไม่ถือว่าสายจนเกินไป สำหรับในต่างประเทศกระแสการตอบรับ Sony Tablet S ให้ผลตอบรับค่อนข้างดี และ Sony คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าในประเทศไทยจะให้ผลตอบรับที่ดีเช่นกัน
“เป้าหมายของ Tablet S จะอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้งานที่เป็นวัยรุ่น โดยเฉพาะกลุ่มที่ชื่นชอบการท่องโลก Internet กลุ่มผู้ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ ซึ่งรวมไปถึงการใช้งานด้านการถ่ายรูปและอัปวิดีโอเพื่อแบ่งปันให้เพื่อนบนเครือข่ายได้รับชมพร้อมกัน และกลุ่มสุดท้ายคือกลุ่มที่ต้องการการใช้งานด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ ซึ่ง Tablet S สามารถตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ได้”
ทั้งนี้ในส่วนแบ่งตลาด Tablet ในประเทศไทยตอนนี้จากการสำรวจมีอยู่ราว 26% วัดจากกลุ่มผู้ใช้งาน Internet ที่มีอายุเกิน 15 ปี ส่วนปีหน้า Sony ตั้งเป้าขอส่วนแบ่งตลาด Tablet 10%
ด้านนายธัญดล โกศิน รองผู้จัดการผลิตภัณฑ์ไอที กล่าวว่า Tablet S มีจุดเด่นที่การดีไซน์ โดยเฉพาะด้านหลังเครื่องที่จะมีลักษณะเป็นส่วนโค้งเพื่อช่วยลดปัญหาอาการเมื่อยล้าจากการใช้งาน Tablet และนอกจากจุดเด่นด้านการดีไซน์แล้ว Tablet S ได้ใช้เทคโนโลยี QuickView ซึ่งเป็นระบบที่จะช่วยให้ Tablet แสดงผลในส่วนที่เป็นคอนเทนต์ก่อน จากนั้นรูปภาพประกอบคอนเทนต์จะตามมา
นอกจากนี้นายโทรุยังได้พูดเสริมถึงผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นว่า Sony ได้รับผลกระทบในบางส่วน แต่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจะเป็นส่วนชิ้นส่วนการผลิตกล้องถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นกล้องไร้กระจกสะท้อนภาพ และกล้องตระกูลไซเบอร์ ช็อต แต่ถึงอย่างไรก็ดีเชื่อว่าในปีหน้าสถานการณ์ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ
ในส่วนความเป็นไปได้สำหรับการให้ความร่วมมือกับโครงการของรัฐบาล ‘One Tablet Per Child’ ทาง Sony มองว่าตัวแท็บเล็ตของ Sony มีราคาสูงกว่าที่รัฐบาลกำหนดราคาเอาไว้ ทำให้ความร่วมมือกับโครงการของรัฐบาลยังคงไม่เกิดขึ้นในตอนนี้
สำหรับ Sony Tablet S มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 3.2 หน้าจอขนาด 9.4 นิ้ว หน่วยประมวลผล NVIDIA Tegra 2 1GHz พร้อมเทคโนโลยี TruBlack ซึ่ช่วยในการลดแสงจ้า และแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์
ทั้งนี้ Tablet S จะมีให้เลือกด้วยกัน 2 รุ่นได้แก่รุ่น 16GB จำหน่ายในราคา 14,900 บาท และรุ่น 32GB เคาะราคาจำหน่าย 17,900 บาท โดยจะเริ่มวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 มกราคม 2555 ที่ Sony Store ทุกสาขา และตามร้านค้า IT ชั้นนำ
“ปีหน้านอกจากตลาดคอมพ์แล้ว จะเน้นไปที่ Tablet เพราะ Tablet ขนาดหน้าจอเดียวไม่สามารถตอบโจทย์ทุกกลุ่มลูกค้าได้ รวมถึงแอปพลิเคชันข้างใน ก็ต้องมีการแบ่งกันอย่างชัดเจน ระหว่าง คอนซูเมอร์ และ คอมเมอร์เชียล ซึ่งตอนนี้กำลังคุยกับโอเปอเรเตอร์อยู่เพื่อหาช่องทางจำหน่ายร่วมกัน”
โดยแคมเปญหลักของ Lenovo ในปีหน้า จะเน้นไปที่กลุ่มเจนวาย หรือ ประชากรที่อายุไม่เกิน 30 ปี เนื่องจากมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีการเข้าถึง Social Network และเทคโนโลยีค่อนข้างสูง ทำให้กลายเป็นผู้นำทางความคิดในเรื่องของเทคโนโลยี
True Move ฟัด AIS คู่ชิงเจ้าตลาด Smart Phone แห่งปี !!!
กลายเป็นมวยคู่เอกแห่งปี 2554 สำหรับวงการโทรคมนาคมเมืองไทย เมื่อมังกร “ทรูมูฟ” พยายามชิงพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสมาร์ตโฟนจากผู้นำตลาดอันดับหนึ่ง “เอไอเอส”
หากมองการขับเคลื่อนกลยุทธ์ระหว่างสองค่ายวันนี้ ต้องถือว่าอัดกันในทุกรูปแบบอย่างแท้จริง และมีการชิงความได้เปรียบในทุกโอกาสที่เกิดขึ้น อย่างการเปิดตัวไอโฟน 4เอส ทั้งสองค่ายต่างมีกลยุทธ์ที่จะดึงสาวกไอโฟนเข้ามาร่วมวงให้ได้มากที่สุด มีการจัดงานโดยทรูมูฟยึดพื้นที่ใจกลางเมือง รอยัล พารากอน ฮอลล์ สยามพารากอน ส่วนเอไอเอสยึดศูนย์สิริกิติ์เป็นป้อมปราการ
ทรูมูฟอัดงบถึง 20 ล้านบาท จัดกิจกรรมเปิดขายไอโฟน 4เอส โดยมีการปรับธีมการจัดงานใหม่ นอกจากเป็นกิจกรรมพิเศษส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าแล้ว ยังเพิ่มกิจกรรมพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบน้ำท่วมอิงกับกระแสที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการปรับกลยุทธ์การทำตลาดใหม่ โดยการปรับราคาแพกเกจเครือข่ายทรูมูฟ เอช ให้มีราคาหลากหลายมากขึ้น เริ่มต้นที่ 399 บาท จากเดิม 599 บาท และสูงสุด 999 บาท เสริมด้วยแคมเปญพิเศษให้ใช้ฟรี 6 รอบบิล เมื่อใช้บริการถึง 18 รอบบิล หรือให้ส่วนลดค่าบริการรายเดือนตามแต่โปรโมชั่น
กลยุทธ์ดังกล่าวถือเป็นการผลักดันให้การขายเครื่องที่บันเดิลแพกเกจ ราคาถูกกว่าเครื่องเปล่า ตอบโจทย์ลูกค้าได้กว้างมากขึ้น ครอบคลุมฐานลูกค้าที่ย้ายมาจากฮัทช์ และลูกค้าต่างจังหวัดที่ใช้งานเครือข่ายทรูมูฟ
“จากปี 2552 ที่เริ่มทำตลาดมีลูกค้าเพียง 20% ซื้อเครื่องพร้อมแพกเกจ ปัจจุบันสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 75%” ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และรองหัวหน้ากลุ่มคณะผู้บริหาร ด้านการพาณิชย์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวและว่า “ยอดจองไอโฟน 4เอส สูงกว่าครั้งที่แล้วที่เปิดขายไอโฟน 4 ถึง 3 เท่า”
ด้านเอไอเอสได้มีการปรับกลยุทธ์รับการเปิดตัวไอโฟน 4เอส เช่นกัน โดยนำประสบการณ์จากงานที่ผ่านๆ มา ไปสู่กลยุทธ์การทำให้ลูกค้าได้รับเครื่องให้เร็วที่สุด ไม่ต้องเข้าคิวรอกัน 3-4 ชั่วโมง
เอไอเอสจึงใช้เวลา 3 วันในการจัดงานที่ศูนย์สิริกิติ์ส่งมอบเครื่องให้ลูกค้ามากกว่า 5,000 ราย ซึ่งยังไม่นับรวมกับลูกค้าในอีก 5 จังหวัดที่ไม่สามารถเข้าไปรับเครื่องที่จองไว้ในแต่ละที่ได้
การเปิดตัวไอโฟน 4เอส จึงถือเป็นสมรภูมิใหญ่สุดท้ายที่ปิดเกมการแข่งขันระหว่างเอไอเอสและทรูมูฟในปีนี้
จากรูปแบบการจำหน่ายสมาร์ตโฟนที่ผ่านผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นจุดแข่งขันที่แต่ละค่ายจะต้องงัดกลยุทธ์มาแข่งขันกัน และมีการจับคู่กับพันธมิตรค่ายมือถือตลอดปี 2554
เอไอเอสยังถือได้ว่ามีภาษีดีกว่าทรูมูฟ เห็นได้จากไฮไลต์โปรดักส์ของแต่ละค่ายจะมาเปิดตัวกับเอไอเอสมากที่สุด อย่าง ซัมซุงเน็กซัสเอส ซัมซุงกาแล็กซี่โน้ต โนเกีย N9
ฐิติพงศ์ เขียวไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเติบโตของตลาดสมาร์ตดีไวซ์จะแบ่งตลาดความต้องการของผู้บริโภค เมื่อมีผลิตภัณฑ์ที่ออกมาตอบโจทย์ในกลุ่มต่างๆ เอไอเอสก็จะนำมาเสนอให้กับลูกค้า อย่างกาแล็กซี่โน้ตเป็นทั้งสมาร์ตโฟนและแท็บเลต ที่มาเจาะกลุ่มเฉพาะก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่องขึ้นด้วย
ชิงเจ้าตลาด Smart Phone
ปพนธ์ กล่าวว่า สถานการณ์ธุรกิจสมาร์ตโฟนปี 2554 ทรูฯ ครองตำแหน่งผู้นำมีส่วนแบ่งการตลาดในสมาร์ตโฟนรุ่นไฮเทียร์กว่า 60% รายได้ 8 พันล้านบาท ตามเป้าที่วางไว้
ทรูฯ มีความเชื่อว่าการตัดสินใจซื้อสมาร์ตโฟนมาจากแพกเกจค่าบริการดาต้าเป็นตัวชี้วัดสำคัญ ส่งผลให้รูปแบบการทำตลาดสมาร์ตโฟนของผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 ราย จะหันมาให้ความสำคัญกับการขายเครื่องพร้อมแพกเกจ ที่มีราคาถูกกว่าเครื่องเปล่า และถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการดึงลูกค้าจากคู่แข่งขันแต่ละราย
ส่วนแนวทางการทำตลาดปี 2555 วางแผนไว้ว่าต้องการสร้างความแปลกใหม่ให้ตลาด โฟกัสสมาร์ตโฟนรุ่นไฮเอนด์กับไอโฟนมากกว่า 50% ที่เหลือ 40% เป็นแบล็กเบอร์รี่ ซัมซุง ทั้งเตรียมเพิ่มไลน์สินค้าโอเอสแอนดรอยด์ แบรนด์เอชทีซี ส่วนวินโดวส์โฟนคาดว่าต้องรอเวลาให้ผลิตภัณฑ์พร้อมอีกสักพักก่อน
ขณะเดียวกัน ได้เตรียมปูทางการทำตลาดไว้ตั้งแต่ไตรมาส 4 เริ่มปรับทิศทางการทำตลาดโดยการแบ่งทีมสมาร์ตโฟนออกเป็น 2 ส่วน คือ สินค้าแอปเปิลกับไม่ใช่แอปเปิล เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นพร้อมดึงมือดีมาคุมทีม จากปี 2554 ใช้การตลาดประมาณ 300 ล้านบาท ปีหน้าวางแผนไว้ว่าจะใช้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของยอดขาย
จากปัจจุบันที่ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทรูชอปรวมกับทรู คอฟฟี่ 318 สาขา ไอสตูดิโอ 90 สาขา และแบรนดิ้งชอป 4 สาขา จากนี้ทั้งไอสตูดิโอและทรูมูฟมีแผนขยายเพิ่มมากขึ้น ภายในไตรมาสที่ 1 จะได้เห็นทรูชอปธีมไอซีที เดสทิเนชั่น เพิ่มอีก 2 แห่งใจกลางเมือง
“ตลาดสมาร์ตโฟนปีนี้เติบโต 40% ปีหน้าจะโตต่อเนื่องในระดับนี้ต่อไป คาดว่าการใช้บริการแบบโพสต์เพดมีโอกาสกลับมาโตเพิ่มขึ้น ด้านศักยภาพของเน็ตเวิร์กจะเติบโตเพิ่มขึ้น 100% ส่วนทรูมูฟตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 20%”
สำหรับสถานการณ์ของเอไอเอส ที่ผ่านมาเอไอเอสมีการระบุถึงตัวเลขลูกค้าที่ใช้ Mobile Internet ปัจจุบันมีมากกว่า 8 ล้านราย เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 43% โดยรูปแบบการใช้งานของลูกค้ากลุ่มนี้ ราว 45% มาจากสมาร์ตโฟน
กลยุทธ์ของเอไอเอสจึงมุ่งที่จะพัฒนาด้านต่างๆ เพื่อผลักดันให้มีการเติบโตและเป็นเจ้าตลาดผู้ให้บริการของเมืองไทยต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการหาสมาร์ตดีไวซ์และสมาร์ทแท็บเลตมาทำตลาด การเพิ่มความหลากหลายของ Data SIM และ Data Package ที่สอดคล้องในทุกๆ เซกเมนต์ของสมาร์ตดีไวซ์
รวมทั้งการ Customize Application เช่น AIS Book Store และการพัฒนาเครือข่ายเอไอเอส โดยเฉพาะการติดตั้งเครือข่าย 3G รวมไปถึงความร่วมมือกับ 3BB อย่างต่อเนื่อง
เอไอเอสเชื่อมั่นว่าด้วยเครือข่าย Data ที่ใหญ่ที่สุด ตอบโจทย์ในทุกโซลูชั่น จะตรงใจกลุ่มลูกค้ามากที่สุด
ชิงการให้บริการ 3G
การให้บริการ 3G ถือเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่สำคัญที่ทั้งเอไอเอสและทรูมูฟ พยายามช่วงชิงภาพความเป็นผู้นำการให้บริการ 3G
เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา เอไอเอสผนึกพลังพาร์ตเนอร์ ผ่านแนวคิด Ecosystem เปิดเครือข่าย 3G ในกรุงเทพฯ และอีก 7 จังหวัด เสริมศักยภาพการบริการผ่าน 3 เครือข่าย (3G, Wifi, EDGE+) พร้อมให้บริการ 3 Applications ใหม่ล่าสุด (AIS Music Store, AIS Book Store, AIS App Store) และประกาศเปิดตัว 3 Device ใหม่ล่าสุด (Samsung Galaxy Tab 10.1, Nokia N9, HTC EVO 3D) ที่ exclusive เฉพาะกับเอไอเอส
ส่วนกลุ่มทรูฯ ก็กดปุ่มเปิดตัวบริการ 3G ภายใต้แบรนด์ “ทรูมูฟ เอช” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2554 หลังปฏิบัติการรุกคืบซื้อกิจการ “ฮัทช์” และทำสัญญาขายส่งขายต่อบริการ HSPA 3G คลื่น (เดิม) 850 MHz จาก กสท โทรคมนาคม
หลังจากที่ทั้งสองค่ายเปิดตัวก็ได้มีการเร่งขยายเครือข่ายการให้บริการ 3G มากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการการใช้งานที่แพร่ขยายออกไป เอไอเอสก็จะมีการจับมือโรมมิ่งบริการ 3G กับทางทีโอที ซึ่งก็จะทำให้เอไอเอสมีความครอบคลุมการให้บริการ 3G ที่เพิ่มมากขึ้น
ด้านกลุ่มทรูฯ ได้วางการลงทุนปรับปรุงอัปเกรดโทรศัพท์ระบบ 3G ทรูมูฟ เอช ด้วยงบประมาณลงทุนโครงข่ายในปีนี้ไปแล้วกว่า 7-8 พันล้านบาท จากที่ได้ตั้งเป้าการลงทุนไว้ 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ปัจจุบันทรูฯ มีโครงข่าย 2G 8,000 กว่าสถานี และ 3G อีกประมาณ 3,500 สถานี ทั้งนี้ ทรูฯ มั่นใจว่าจะเป็นผู้นำที่มีสถานีฐานที่ครอบคลุมและรองรับการใช้งานที่มีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน
เปิดสงคราม “eBook”
ความแพร่หลายของไอแพด แท็บเลต และเครื่องรีดเดอร์กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีการประมาณการกันว่าในสิ้นปีหน้า จะมียอดขายไอแพดราว 56 ล้านเครื่อง ขณะที่เครื่องอ่านอีบุ๊ก จะมียอดขายทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 32 ล้านเครื่อง ในปี 2567 แม้แต่ร้านขายหนังสือชื่อดังอย่าง “อะเมซอน”ล่าสุดยอดขายหนังสือของอีบุ๊กบนเว็บยังแซงหน้าหนังสือปกแข็งและปกอ่อนไปแล้ว
เมื่อผนวกรวมกับเครือข่าย 3G ที่เหล่าโอเปอเรเตอร์กระหน่ำให้บริการกัน เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่จะผลักดันให้ตลาดโตไวขึ้น เพราะทำให้การเข้าถึงคลังหนังสือดิจิตอลสะดวกและดาวน์โหลดเร็วขึ้น ขณะที่บรรดาสำนักพิมพ์ก็เริ่มปรับตัวสู่โลกหนังสือออนไลน์มากขึ้น ก็ยิ่งจุดกระแสให้การอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เติบโต และเป็นสมรภูมิร้อนขึ้นทันตา
เอไอเอส ถือเป็นค่ายแรกที่มองเห็นโอกาสอย่างมีนัยสำคัญ และเปิดเกมรุกอย่างหนัก เพราะเชื่อว่าอีบุ๊กไม่ใช่กระแส และจะเริ่มเข้าใกล้ผู้บริโภคมากขึ้น แถมมองว่าต่อไปผู้คนจะไม่ได้ซื้อแท็บเลต เพื่อเช็กอีเมลอย่างเดียว ทว่าการอ่านหนังสือจะเข้ามาตอบโจทย์ ทำให้ เอไอเอส เปิดตัว เอไอเอส บุ๊กสโตร์ ในรูปแบบของร้านหนังสือออนไลน์เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ส่วนงานบริการเสริม เอไอเอส ย้ำว่า “อีบุ๊กไม่ใช่กระแส”
เช่นเดียวกับทาง พิชิต ธันโยดม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านสารสนเทศ คอนเวอร์เจนซ์ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เห็นแนวโน้มของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เติบโตขึ้นแน่ โดยจะเติบโตไปตามดีไวซ์
เกมกลยุทธ์ของ “ทรู” อาศัยกระแสแอปสโตร์ที่มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมผนึก ทรูแอปเซ็นเตอร์ ในเครือทรู ซึ่งมีความชำนาญในการพัฒนาแอปพลิเคชั่น รูปแบบ eBook และ Interactive Book มาเป็นเครื่องมือรุกตลาด
การบุกตลาดผ่านแอปสโตร์ แทนการพัฒนาคลังหนังสือดิจิตอล หรือ True Book Store เพราะแอปสโตร์เป็นตลาดใหญ่ โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 7.5 แสนล้านบาท ในปี 2558 และฐานลูกค้าทรูที่ใช้ไอแพดมีจำนวนมาก ขณะที่ทรูแอปเซ็นเตอร์สามารถตอบโจทย์การพัฒนาแอปได้เป็นอย่างดี
นี่อาจเป็นเพียงแค่การขยับของทรูในตลาดอีบุ๊กเท่านั้น เพราะค่ายนี้มีแผนจะเข็นดิจิตอล แมกกาซีน และทรู บุ๊กสโตร์ ออกมาในปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นโมเดลที่มาท้าชิงเอไอเอสอย่างจัง จึงยังต้องติดตามกันต่อไป