สรุปข่าวไอทีที่น่าสนใจประจำวันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2555 ครับ
Microsoft เผยสเป็กฮาร์ดแวร์ “Tablet” Windows 8 !!!
รายงานข่าวล่าสุด อ้างอิงจากเอกสารของไมโครซอฟท์ (Microsoft) ได้มีการระบุถึงความต้องการฮาร์ดแวร์ขั้นต่ำสำหรับ “Tablet” ที่ใช้รัน Windows 8 ว่า มันควรจะมีขีดความสามารถเป็นอย่างไร พร้อมทั้งช่วงราคาที่จะอยู่ระหว่าง 599 – 899 เหรียญฯ (ประมาณ 24,000 – 27,000 บาท) อุ๊ปส์!!!
ในขณะที่ผู้นำตลาด “Tablet” ปัจจุบันก็คือ iPad 2 ราคาจะอยู่ที่ 499 – 829 เหรียญฯ (ประมาณ 15,000 – 25,000 บาท) การที่ช่วงราคา Tablet Windows 8 ค่อนข้างสูงขนาดนี้ ทำให้ตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ของ Tablet Windows 8 ไม่ใช่แท็บเล็ตทางเลือกราคาถูกสำหรับผู้บริโภค ในส่วนของรายละเอียดเกียวกับคุณสมบัติขั้นต่ำฮาร์ดแวร์ Tablet Windows 8 ได้โพสต์ไว้บนเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ แบ่งเป็นความต้องการฮาร์ดแวร์ของไคลเอ็นต์ และเซิร์ฟเวอร์ Windows 8 จำนวน 293 หน้า และอุปกรณ์ 943 หน้า
ตัวอย่างบางส่วนของคุณสมบัติ “Tablet” Windows 8 ก็เช่น จะต้องมีปุ่มควบคุมการใช้งานอย่างน้อย 5 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มเปิด/ปิด ปุ่มล็อคหน้าจอไม่ให้หมุน Windows Key และปุ่มปรับระดับเสียงขึ้น และลง นอกจากนี้ การกดปุ่ม Windows Key กับ Power จะหมายถึงคีย์ลัดในการรีบู๊ต “Tablet” Windows 8 แทนการใช้ Ctrl+Alt+Delete ที่คุ้นเคยบน Windows PC อีกด้วย
นอกจากนี้ Tablet Windows 8 จะต้องมาพร้อมกับกล้องหลังที่สามารถบันทึกวิดีโอที่ 720p เซ็นเซอร์ตรวจจับความเร่ง (accelerometer) เซ็นเซอร์ตรวจจับระดับความเข้มสนามแม่เหล็ก (magnetometer) ไจโรสโคป (Gyroscope) และลำโพง คุณผู้อ่านที่สนใจ Tablet Windows 8 จะมีโอกาสได้ใช้งานพอร์ต USB 2.0 อย่างน้อย 1 พอร์ต รวมถึงการเชื่อมต่อไร้สาย Bluetooth 4.0 และ WLAN
Tablet Windows 8 จะมาพร้อมกับจอสัมผัสที่มีความละเอียดอย่างน้อย 1366 x 768 พิกเซลที่จำนวนสีทีใช้ในการแสดงผล 32 บิต และจะต้องมีสตอเรจสำหรับเก็บข้อมูลอย่างน้อย 10GB ในส่วนของโพรเซสเซอร์ที่รองรับการทำงานร่วมกันได้ก็จะมี x86 ของ Intel (Atom) และ ARM ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมาจากผู้ผลิตอย่าง Texas Instruments, Nvidia และQualcomm สำหรับช่วงราคาที่ค่อนข้างสูงนี้ แม้ Intel และ Microsoft อยากจะทำราคาของฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ให้ถูกลง แต่ก็อาจส่งผลให้กำไรขั้นต้นของตลาดพีซีโดยรวมลดลงไปอีก
อย่างไรก็ตาม จากสเป็กเบื้องต้นที่มีการประเมินราคาฮาร์ดแวร์ไว้ค่อนข้่างสูงขนาดนี้ เมื่อถึงเวลาผลิตจริง ต้นทุนอาจจะดีขึ้นก็ได้ เพราะด้วยราคาระดับนี้ คงยากที่จะต่อกรกับ iPad และ Tablet Android ได้ ซึ่งก็คงต้องติดตามกันต่อไปครับ
“Dot Switch” Gadget ลึกลับจาก Sony !!!
โซนี่ (Sony) ปล่อยคลิปยูทูบ (YouTube) เผยผลิตภัณฑ์ลึกลับที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ โดยไม่ได้บอกกล่าวอะไรมากมายนอกจากเรียกมันว่า “Dot Switch” ในคลิปนักแสดง (ที่เห็นแค่มือ) กำลังใช้สมาร์ทโฟน Sony Xperia ที่มีภาพจุดสว่างขนาดใหญ่ตรงกลางหน้าจอสัมผัส ซึ่งจุดที่่ว่านี้จะให้ผู้ใช้ที่อยู่ในคลิปสามารถเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ในห้องแทนรีโมทได้
คุณผู้อ่านคงคิดเหมือนผมนะครับว่า Dot Switch มันไม่น่าจะเป็นแค่ “รีโมท” ธรรมดาๆ ที่ทำงานบนสมาร์ทโฟนเท่านั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่ได้มีอะไรที่ตื่นเต้นจนต้องปิดเป็นความลับ เพื่่อรอเปิดตัวในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ อย่างไรก็ดี สรุปสิ่งที่เห็นในคลิปเริ่มต้นด้วย เครื่องบันทึกจานเสียงรุ่นโบราณเริ่มทำงาน เมื่อจดสว่างบนหน้าจอ XPeria ถูกกด ตามด้วยทีวีของ Sony และเครื่องยิงกระดาษสี ก่อนที่จะปิดฉากสุดท้ายด้วยแขนกลที่เปิดฝาครอบโลหะ เพื่อให้เห็นสิ่งที่อยู่บนถาด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมจตุรัสภายในมีจุดสีขาวอยู่จุดหนึ่ง…แล้วก็…จบซะงั้น
หากสังเกตให้ดี ในแต่ละอุปกรณ์ที่ถูกกดให้เปิดทำงานด้วย Smart Phone คุณผู้อ่านจะเห็นกล่องสีขาวที่อยู่ใกล้ๆ (ทำตัวเหมือนภาครับสัญญาณ) แสดงจุดสว่างสีเขียวขึ้นมา ซึ่งมันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดอุปกรณ์ควบคุม? แล้วกล่องสี่เหลี่ยมจตุรัสสีดำที่อยู่บนจานโลหะที่ถูกปิดโดยฝาครอบนั้น มันคืออะไรกันแน่? ทั้งหมดนี้เป็นแค่การเปิดตัวเทคโนโลยีที่ใช้ซอฟต์แวร์ควบคุม และอุปกรณ์เสริม (กล่องสีขาวที่มีจุดสว่างขึ้นมาตอนรับคำสั่งจาก Xperia) สำหรับการใช้งาน Xperia แทนรีโมทครอบจักวาล อย่างนั้นหรือ? หรือว่าทั้งหมดเป็นแค่ gimmick ที่ไม่เกี่ยวอะไรกับ “กล่องจตุรัสสีดำ” ที่อยู่ใต้ฝาครอบนั้นเลย ทางเราจะนำมารายงานเพิ่มเติมให้ทราบทันที หลังจากการเปิดตัวในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ศกนี้
สายไฟอัจฉริยะสั่ง “เปิด-ปิด” ด้วย iPhone !!!
บางทีเรื่องง่ายๆ กลับกลายเป็นอะไรที่หลายคนมองข้าม โดยเฉพาะเรื่องของสวิทช์ไฟที่ทำหน้าที่ตัดต่อไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่างๆ และเมื่อถึงยุค Smart Phone ครองเมือง คงจะดีไม่น้อยหากเราจะสามารถใช้ Smart Phone, Tablet หรือ PC สั่งเปิดปิดสวิทช์การทำงานแบบไร้สายได้ ซึ่งคำตอบที่ว่านี้โผล่ในงาน CES 2012 ด้วย นั่นก็คือ Smart Cord “ชุดสายไฟพร้อมสวิทช์ไร้สาย Bluetooth” ทำให้คุณสามารถสั่งเปิดปิดอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต่อกับชุดสายไฟ Smart Cord ด้วยแอพบน iPhone ได้…ว้าว!!!
Smart Cord เป็นชุดปลั๊กสายไฟ “Bluetooth” สนับสนุนมาตรฐาน A2DP โดยชุดสายไฟอัจฉริยะนี้เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท ZSmart ซึ่งดูภายนอกมันก็ไม่ต่างกับสายไฟ AC ทั่วไปที่ีมีความยาว 3 ฟุต (90 ซม.) แต่บนสายไฟจะมีสวิทช์ Bluetooth ที่นอกจากจะสามารถใช้มือเปิดปิดได้แล้ว มันยังสั่งผ่านแอพฯ บน Smart Phone หรือใช้ไฟล์เสียง (audio file) ได้อีกด้วย (ทั้งแอพฯ และไฟล์เสียงสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี) สำหรับการใช้งาน Smart Cord ก็ง่ายมาก เพียงแค่เปลี่ยนชุดสายไฟ AC ของอุปกรณ์ที่ใช้ด้วย Smart Cord คุณก็สมารถสั่งเปิดปิดการทำงานของอุปกรณ์เหล่านั้นผ่านแอพฯ บน Smart Phone ด้วยระยะห่างไม่เกิน 30 ฟุต (ประมาณ 9 เมตร) ได้แล้ว
Zsmart กำลังเตรียมออกผลิตภัณฑ์แนวๆ นี้เพิ่มเติมอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสวิทช์ไร้สายบลูทูธแยกต่งหาก สวิทช์หรี่ไฟ ฯลฯ Zsmart ตั้งเป้าที่จะเป็นอุปกรณ์สำหรับการเซตอัพระบบบ้านอัตโนมัติ ด้วยแนวคิดที่ทำให้มันง่าย และถูกกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ทางบริษัทเปิดเผยว่า จะสามารถวางตลาด Smart Cord ได้ในช่วงปลายเดือนมกราคม โดยสนนราคาต่อเส้นอยู่ที่ 40 เหรียญฯ (ประมาณ 1,200 บาท) อืม…คุณผู้อ่านคิดว่า กับความสามารถที่มันทำได้กับราคานี้… OK ไหมครับ?
Samsung ทุ่มทุน4หมื่นล.ดอลล์ ลุยตลาดชิป-หน้าจอปี 2012 !!!
กลุ่มซัมซุง (Samsung Group) ประกาศงบลงทุนประจำปี 2012 มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทุบสถิติที่ 4.14 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.28 ล้านล้านบาท เชื่อซัมซุงต้องการตอกย้ำภาพเบอร์ 1 ในตลาดชิปอุปกรณ์พกพาและสินค้ากลุ่มหน้าจอแบนหรือแฟลตสกรีนต่อไป
การลงทุนครั้งนี้ของซัมซุงถูกวิเคราะห์ว่าเป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งซัมซุงมักจะเทเงินทุนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้นำหน้าคู่แข่ง โดยงบประมาณ 4.14 หมื่นล้านเหรียญนั้นคิดเป็นเงิน 47.8 ล้านล้านวอน เพิ่มขึ้นจาก 42.8 ล้านล้านวอนเมื่อปี 2011 ราว 12% สวนทางกับคู่แข่งร่วมชาติอย่างแอลจี (LG Electronics Inc) ที่ปรับลดเม็ดเงินลงทุนลง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐเพราะพิษเศรษฐกิจโลกตั้งเค้า
แม้ซัมซุงจะไม่เปิดเผยรายละเอียดการลงทุน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่าเงินทุนมหาศาลนี้จะถูกนำไปยกระดับธุรกิจชิปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่และหน้าจอ OLED หน้าจอพันธุ์ใหม่ถัดจาก LCD ที่ครองตลาดหลักในปัจจุบัน โดยข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า ในงบลงทุนทั้งหมดของซัมซุง เงินราว 31 ล้านล้านวอนจะเป็นการลงทุนเพื่อซื้อสินทรัพย์มาใช้ในการดำเนินงานของบริษัท (capital spending) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 11% จากปีที่แล้ว โดย 25 ล้านล้านวอน หรือ 80% ของ capital spending ของซัมซุงจะทำในนามบริษัทซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นบริษัทไอทีที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกขณะนี้
นักวิเคราะห์ ลี ซุน-เท (Lee Sun-tae) จากบริษัทเงินทุน NH Investment & Securities ให้สัมภาษณ์ว่าเงินลงทุน 47.8 ล้านล้านวอนที่ซัมซุงประกาศนั้นเหนือกว่าบริษัทไอทีรายอื่น ผลคือซัมซุงจะมีโอกาสเติบโตและทิ้งห่างคู่แข่งมากกว่าเดิม โดยเฉพาะธุรกิจชิปซึ่งมีแนวโน้มว่าซัมซุงจะใช้เงินไม่ต่ำกว่า 7.5 ล้านล้านวอนในการลงทุนพัฒนาชิปที่เป็นหน่วยประมวลผลและระบบเซ็นเซอร์สำหรับใช้ในสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และกล้องดิจิตอล
จุดนี้นักวิเคราะห์ชี้ว่า ตัวเลข 7.5 ล้านล้านวอนนั้นสูงกว่าการลงทุนในการพัฒนาชิปหน่วยความจำทั่วไปถึง 1 ล้านล้านวอน ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การลงทุนของซัมซุงที่เม็ดเงินในการพัฒนาชิปประมวลผลนั้นสูงกว่าชิปหน่วยความจำ
นอกจากชิป นักวิเคราะห์เชื่อว่าซัมซุงจะลงทุนในการพัฒนา OLED ราว 7 ล้านล้านวอนในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ลงทุนไป 5 ล้านล้านวอน โดยทุนส่วนนี้เชื่อว่าจะถูกแบ่งให้การพัฒนาจอ LCD, แบตเตอรี่ชาร์จใหม่ได้ และหน้าจอ LED ไปพร้อมกัน
ทุนพัฒนาชิปและหน้าจอนี้คาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนผลประกอบการบริษัท Samsung Electronics ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปประมวลผลให้ไอโฟน (iPhone) ไอแพด (iPad) ของแอปเปิล และผลิตภัณฑ์กลุ่มแกแล็กซี่ (Galaxy) ของซัมซุง รวมถึงบริษัท Samsung Mobile Display ซึ่งเป็นผู้ผลิตหน้าจอ OLED แก่ผู้จำหน่ายอุปกรณ์พกพาหลายแบรนด์
จุดนี้คาดว่าซัมซุงจะได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของตลาด OLED อย่างเต็มที่ โดยบริษัทวิจัย DisplaySearch พบว่ารายรับในตลาดหน้าจอ OLED จะทะลุ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐในปี 2018 คิดเป็น 16% ของรายรับในตลาดรวมหน้าจอทั่วโลก เพิ่มขึ้นจาก 4% ในปีนี้
ซัมซุงนั้นเป็นกลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีซึ่งมีบริษัทในเครือไม่ต่ำกว่า 80 บริษัท รายรับรวมของบริษัทนั้นคิดเป็น 20% ของจีดีพีประเทศ โดยหากรวมการลงทุนมากกว่า 47 ล้านล้านวอนในปีนี้ เท่ากับซัมซุงได้ลงทุนไปมากกว่า 148 ล้านล้านวอนแล้วนับตั้งแต่ปี 2009 (ราว 3.97 ล้านล้านบาท)
*** รวม “บาดา” กับ “ทิเซน” ***
นอกจากการลงทุน ซัมซุงยังเปิดเผยว่ากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่อย่างอินเทล ในการรวมแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์สำหรับอุปกรณ์พกพา ‘บาดา (bada)’ เข้ากับแพลตฟอร์ม “ทิเซน (Tizen)” ซึ่งอินเทลเป็นผู้สนับสนุนหลัก จุดประสงค์เพื่อจะไม่ต้องยึดติดกับแพลตฟอร์มของGoogleอย่าง “แอนดรอยด์ (Android)” แพลตฟอร์มเดียว
ทั้งหมดนี้ โฆษกซัมซุงให้ข้อมูลยืนยันการร่วมกันพัฒนาทิเซนระหว่างอินเทลและซัมซุงอย่างเป็นทางการตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเชื่อว่าแพลตฟอร์มมาตรฐานเปิดอย่างทิเซนจะช่วยให้ซัมซุงสามารถพัฒนาสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทีวีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และระบบฝังตัวในรถยนต์ได้ดีกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าการประกาศครั้งนี้จะมีผลต่ออุตสาหกรรมไอทีโดยรวมเมื่อใด เนื่องจากบาดานั้นเป็นแพลตฟอร์มที่ถูกใช้งานเพียง 2.2% ของตลาดรวมสมาร์ทโฟนโลกเท่านั้น ยังน้อยมากเมื่อเทียบกับแอนดรอยด์ที่มีสัดส่วนสูงถึง 53%