สรุปข่าวไอทีที่น่าสนใจประจำวันพุธที่ 18 มกราคม 2555 ครับ
“If I Die” บริการฝากโพสต์สุดท้ายของชีวิตใน Facebook !!!
เชื่อว่า คุณผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะจำภาพยนตร์เรื่อง “The Letter” ที่ทำให้ใครหลายคนต้องเสียน้ำตากันไปกับความซาบซึ้งกันได้นะครับ โดยเฉพาะไอเดียของพระเอกที่เขียนจดหมายปลอบใจทิ้งไว้ และให้ไปรษณีย์ทะยอยส่งให้นางเอกทีละฉบับหลังจากที่เขาจากโลกนี้ไป ในยุค Facebook ครองโลก คุณสามารถทำได้เหมือนกันด้วย “If I Die” Facebook app ที่จะคอยโพสต์ด้วยข้อความ (ในใจ) ของคุณ ถึงใครหลายๆ คนที่คุณรักได้ แม้ในวันนั้นคุณจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
หากวันนั้นของคุณกำลังจะมาถึง คุณอาจจะต้องการทิ้งข้อความสุดท้ายเอาไว้ให้คนข้างหลังได้อ่าน เพราะบางที คุณอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดคำนั้นก็ได้ จะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้คุณไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ แต่เรื่องนี้จะไม่กลายเป็นเรื่องทีสายเกินไป หากคุณติดตั้งแอพฯ บน Facebook ที่ชื่อว่า “If I Die” (ถ้าฉันตาย…)
“If I Die” เป็นแอพฯ บน Facebook ที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่า คุณจะได้บอกกล่าวคำพูดสุดท้ายกับคนที่คุณรักได้ แม้คุณจะจากโลกนี้ไปแล้ว โดยไม่มีวันได้บอกกล่าวคำนั้น หรือเรื่องบางอย่างที่อยากจะบอกก็ตาม หลังจากติดตั้ง “If I Die” สิ่งที่คุณต้องเตรียมก็คือข้อความ หรือคลิปวิดีโอ (คล้าย The Letter เลยนะเนี่ย) และการตั้งค่าเงื่่อนไขต่างๆ เมื่อคุณตายไปแล้ว ผู้ที่คุณไว้วางใจ 3 คน (ผู้ใช้ต้องเป็นผู้กำหนด 3 คนนี้) ที่จะยืนยันว่า คุณได้จากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ เมื่อทั้ง 3 ยืนยัน ข้อความของคุณจะถูกโพสต์ขึ้นไปบนวอลของ Facebook โดยที่คุณไม่ต้องลุกขึ้นมาจากหลุม เพื่อทำเองแต่อย่างใด…Oh!!! God.
มือถือใส่ถ่าน AA ก้อนเดียวอยู่อึดถึง 15 ปี !!!
ยังคงเก็บตก “แก็ดเจ็ต” (Gadget) ในงาน CES 2012 มาฝากคุณผู้อ่านกันอีกชิ้นนะครับ สำหรับชิ้นนี้เป็นมือถือที่มีฟังก์ชันการทำงานเรียบง่ายมากๆ ชื่อว่า SpareOne จุดเด่นของมันนอกจากจะใช้โทรคุยได้นาน 10 ชั่วโมงต่อเนื่องแล้ว มันยังสามารถเก็บไว้ใช้งานได้ถึง 15 ปีด้วยแบตเตอรี่ AA เพียงก้อนเดียว…ว้าว!!!
SpareOne มือถือที่ไม่มีหน้าจอแสดงผลใดๆ ทั้งสิ้น ดีไซน์บางเบา ด้านหน้ามาพร้อมกับแป้นหมายเลข และปุ่มโทรออก-รับสาย แถมยังมีปุ่มเปิดไฟกระพริบ (LED สีน้ำเงิน) สำหรับใช้ในการส่องหาสิ่งของในทีมึดได้อีกด้วย ถึงแม้จะไม่มีหน้อแสดงผลใดๆ แต่เวลากดปุ่มหมายเลข มันจะมีเสียงออกมาให้ได้ยิน สำหรับขั้นตอนการติดตั้งเพื่อใช้งานง่ายมาก แค่เปิดฝาด้านหลังออก ใส่ SIM card เข้าไปในสล็อต บริเวณตรงกลางจะมีช่องใส่แบตเตอรี่ AA หนึ่งก้อน ปิดฝาครอบด้านหลัง แค่นี้คุณก็สามารถใช้โทรเข้าไปยังมือถือของเพื่อนๆ ได้แล้ว ซึ่งความน่าอัศจรรย์ของมันคือ ใช้แบตเตอรี่ AA ขนาดแรงดัน 1.5 โวลต์ของ Energizer ที่สามารถเก็บไฟได้นาน 15 ปี และให้พลังงานในการใช้สนทนาได้นานต่อเนื่อง 10 ชั่วโมงเพียงก้อนเดียว
อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ Engadget ได้ทดลองใช้ SpareOne แล้วพบว่า คุณภาพของเสียงไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่หากพูดถึงในยามฉุกเฉินมันก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย ท้้งนี้ทางบริษัทผู้ผลิตคาดว่าจะสามารถวางตลาดได้ในไตรมาสแรกของปี 2012 โดยจะรองรับการใช้งานได้ทั้ง SIM และ microSIM (มีอะแดปเตอร์ให้) ในระบบ GSM สนนราคาอยู่ที่ 50 เหรียญฯ หรือประมาณ 1,500 บาท โอ้ว!!! ราคานี้ได้ฟีเจอร์โฟนแล้วนะเนี่ย ว่าแต่ในอีก 15 ปีข้างหน้ามันจะมีแบตเตอรี่ AA ให้ได้ใช้กันอยู่ หรือเปล่านะ?
ญี่ปุ่นพัฒนาที่นั่งรถยนต์จำ “ก้น” คุณได้ !!!
มาติดตามข่าวเทคโนโลยีกันบ้างดีกว่าครับ รายงานข่าวล่าสุด นักวิจัยญี่ปุ่นที่ Advanced Institute of Industrial Technology ในกรุงโตเกียวได้พัฒนา “ทีนั่ง” แบบใหม่ในรถยนต์ ซึ่งสามารถระบุผู้ที่เข้าไปนั่งได้ โดยความลับของการทำงานอยู่ที่ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับแรงกดทับ 360 องศา เพื่อจดจำรูปแบบของการแรงกดที่มาจาก “ก้น” ของผู้ขับแต่ละคนได้ เอ่อ…จะเรียกว่า ระบบรู้จำก้น (butt recognition system) ก็น่าจะได้นะเนี่ย – -”
ผลจากการทดสอบที่นั่งรถยนต์ที่รู้จำ “ก้น” ได้ ปรากฎว่า มันมีความแม่นยำในการระบุได้อย่างถูกต้องอยู่ที่ 98% เลยทีเดียว โดยข้อมูลที่ได้จากเซ็นเซอร์รองรับแรงกดทับ 360 องศาจะถูกรวบรวม เพื่อสร้างเป็นภาพของกราฟแรงกดที่ดูเหมือนภาพด้านหลังตั้งแต่ก้นไปจนถึงบริเวณหัวเข่า (ดังรูป) จากนั้น ระบบจะใช้ข้อมูลนี้ในการเปรียบเทียบกับแรงกดทับของผู้ที่เข้ามานั่ง ซึ่งหากมีแพทเทิร์นที่ตรงกันมากๆ มันก็จะระบุผู้ขับได้อย่างถูกต้อง (สามารถใช้กุญแจรถยนต์สตาร์ทได้) โดยแพทเทิร์นของแรงกดทับที่ได้ของแต่ละคนก็จะมีความแตกต่างกันไปตามรูปร่าง และลักษณะการทิ้งน้ำหนัก
ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ หากวันใดวันหนึ่งที่คุณผู้อ่านเกิดแฮปปี้กับการรับประทานเผลอทานหนักเกินจนขนาดของ “ก้น” ขยาย ทำให้ระบบตรวจจับดังกล่าวไม่สามารถระบุตัวคุณที่เป็นผู้ขับตัวจริงได้ล่ะ…คงเซ็งน่าดู แต่มองอีกทางหนึ่ง ถ้าไม่อยากเจอปัญหานี้ ก็ต้องรักษาหุ่นกันหน่อย เฮ่อ…ระบบการทำงานที่ฉลาดเกินไปก็มีปัญหาเหมือนกันนะครับ