สรุปข่าวไอทีที่น่าสนใจประจำวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2554 ครับ
สุวรรณภูมิขึ้นแท่น แชมป์ “Social Airport” อันดับ 10 ของโลก !!!
สนามบินสุวรรณภูมิของไทยกลายเป็นสนามบินที่ถูก Facebook ยักษ์ใหญ่เครือข่ายสังคมจัดให้เป็นสนามบินที่มีชาว Social รวมตัวอยู่เยอะที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก โดย LAX หรือสนามบินนานาชาติลอสแองเจลิส สามารถครองแชมป์สนามบินที่เฟซบุ๊กยกนิ้วว่ามีนักเดินทางมีการแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์สู่เครือข่ายสังคมมากกว่านักเดินทางในสนามบินแห่งอื่น
เพราะสนามบินนั้นเป็นแหล่งรวมตัวของนักเดินทางต่างถิ่น ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากสนามบินจะเป็นสถานที่ที่มีการเรียกใช้งานเครือข่ายสังคมมากกว่าสถานที่อื่นๆ ล่าสุด Facebook ประกาศรายชื่อสนามบินที่มีผู้ใช้งาน Facebook มากที่สุด 10 อันดับ ปรากฏว่าสนามบิน LAX คือแชมป์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสนามบินที่มีความเป็น Social มากที่สุดในโลก
คำว่ามีความเป็น Social นั้นหมายความว่า สนามบิน LAX เป็นสนามบินที่นักเดินทางมีการแบ่งปันข้อมูลว่าตัวเองกำลังเดินอยู่ในสนามบินนี้มากกว่านักเดินทางในสนามบินใดๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ LAX หรือสนามบินนานาชาตินครลอสแองเจลิส (Los Angeles International Airport) นั้นเป็นสนามบินขนาดใหญ่ที่มีผู้โดยสารใช้งานมากเป็นอันดับหนึ่งของสหรัฐ มีอาคารเทียบเครื่องบินหรือเทอร์มินัล (Terminal) มากถึง 9 อาคาร สนามบินนี้รองรับสายการบินจำนวนมากและเป็นประตูสู่เส้นทางการบินอื่นๆอีกมากมาย โดย LAX นั้นเป็นชื่อรหัสของสนามบินแห่งนี้ที่ใช้กันในธุรกิจสายการบิน
นอกจาก LAX ปรากฏว่าสนามบินในสหรัฐฯนั้นติดอันดับสนามบิน Social ของ Facebook ถึง 6 ตำแหน่ง โดยสนามบิน Hartsfield-Jackson Atlanta International Airport ครองอันดับ 2 ตามมาด้วยสนามบิน Chicago O’Hare International Airport, สนามบิน San Francisco International Airport, สนามบิน Dallas/Forth Worth International Airport และสนามบิน Denver International Airport
สนามบิน Sydney International Airport ของออสเตรเลียคือสนามบินนอกสหรัฐฯแห่งแรกที่ติดอันดับท็อปเทนของเฟซบุ๊ก ครองอันดับ 7 ส่วนอันดับ 8 และ 9 คือ สนามบิน Phoenix Sky Harbor Airport และสนามบิน McCarran International Airport ในลาสเวกัส โดยสนามบินสุวรรณภูมิหรือ Suvarnabhumi International Airport ของไทยรั้งอันดับ 10
ทั้งหมดนี้ Facebook เก็บสถิติจากข้อมูลผู้ใช้ที่แชร์โลเคชันหรือเปิดเผยสถานที่อยู่ในขณะนั้นบน Facebook ว่าอยู่ในสนามบิน รวมกับข้อมูลจากบริการอื่นๆในช่วงเดือนสิงหาคม 2010 ถึงเดือนพฤศจิกายน ปีนี้
นอกจากท็อปเทน สนามบินที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯอย่าง John F. Kennedy International Airport นั้นรั้งอันดับที่ 15 และสนามบิน San Diego International Airport นั้นอยู่ในอันดับที่ 17
Epson มองระยะยาว โฟกัสคอร์ปอเรตดีกว่า !!!
เปิดแนวรบตลาด Printer Epson ต่อจากนี้ รุกโฟกัสกลุ่มองค์กรธุรกิจ หลังพบตลาดเติบโตสูง หนำซ้ำยังสามารถต่อยอดการขายได้ดีกว่ากลุ่มคอนซูเมอร์ โดยมี “Inkjet Printer” เป็นสินค้าเรือธงสำหรับบุกทะลวงถึงกลุ่มเป้าหมาย ล่าสุดส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ 7 รุ่น ตอบโจทย์ทุกกลุ่มธุรกิจ ตั้งแต่องค์กรขนาดเล็ก SMB ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ หวังสิ้นปีรักษาการเติบโต 10% หรือคิดเป็นยอดขายราว 2,300 ล้านบาท พร้อมขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาว
ภาพการแข่งขันของตลาดเครื่องพิมพ์ตั้งแต่ต้นปี นับเป็นเวทีที่ถือว่าดุเดือด และถึงตอนนี้ยังร้อนแรงทุกพื้นที่ โดยจะเห็นว่าแม้จะเจอสถานการณ์น้ำท่วม จนส่งผลต่ออารมณ์การจับจ่ายใช้สอยบ้าง แต่ตลาดยังคงเติบโต โดยในแวดวงผู้ประกอบการได้ประเมินตัวเลขภาพรวมตลาดยังคงเติบโตราว 5-10% ส่วนปีหน้าน่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกัน
“ปีนี้ถือเป็นปีที่ท้าทายมาก เนื่องจากมีปัญหาน้ำท่วม ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว รวมถึงแผนการทำงานชะลอตัว แต่เชื่อว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ปรกติต้นปีหน้า” เออิจิ คาโตะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
ขณะที่ ยรรยง มุนีมงคลทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า หากย้อนกลับมาดูพฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยกลุ่มคอนซูเมอร์ มีการพิมพ์น้อยลง ในขณะที่กลุ่มองค์กร กลับยังมีการพิมพ์ต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีการซื้อซัปพลายเพิ่มต่อเนื่อง เช่น หมึกพิมพ์ จึงช่วยต่อยอดการขายได้มากขึ้น และนั่นจึงทำให้เอปสันต้องปรับแนวทางการบุกตลาดใหม่ โดยพยายามหันมาขยายไลน์ในกลุ่มธุรกิจเป็นหลัก เพื่อรับเทรนด์ตลาดองค์กรที่มีการเติบโตสูง
สำหรับความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายนี้ ถือได้ว่าเป็นความต่อเนื่องที่พยายามขยายฐานและบุกเซกเมนต์กลุ่มองค์กรธุรกิจ โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เอปสันเริ่มหันมาสนใจทำตลาดนี้มากขึ้น โดยสินค้าและนวัตกรรมที่เปิดตัวในช่วงนี้ล้วนเป็นสินค้าที่ออกมาเจาะกลุ่มธุรกิจ ทำให้ปัจจุบันสินค้า Printer Epson มีสัดส่วนเปลี่ยนไป โดยสินค้ากลุ่มองค์กรธุรกิจมีสัดส่วนสูงถึง 60% ขณะที่คอนซูเมอร์มีสัดส่วนเพียง 40%
การขยับปรับทัพสินค้าของเอปสันในครั้งนี้ จะบุกขยายฐานให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งองค์กรขนาดเล็ก SMB และธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเลือกที่จะใช้ “Inkjet Printer” เซกเมนต์ที่ Epson มีความแข็งแกร่ง หนำซ้ำตลาดยังมีขนาดใหญ่และมีศักยภาพการเติบโตมากสุด โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 7-10% ขณะที่ตลาด “Laser Printer” มีการเติบโตประมาณ 3-5% เท่านั้น
กลับมาที่การทำตลาด “Inkjet Printer” ในกลุ่มองค์กรล่าสุด แน่นอนว่า ด้วยเป้าหมายที่เอปสันต้องการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มยิ่งขึ้น ผู้เล่นรายนี้จึงต้องวางยุทธศาสตร์มาเป็นอย่างดี โดยครั้งนี้พบว่า ยังคงตอกย้ำจุดขายเดิมในเรื่องต้นทุนต่อแผ่นที่ต่ำกว่าคู่แข่ง และการพิมพ์ด้วย “Laser Printer”
แต่สิ่งที่จะเพิ่มเติมเข้าไปมากยิ่งขึ้น ก็คือ การชูให้เห็นถึงความสามารถในการพิมพ์ ทั้งด้านความเร็ว ที่พิมพ์ได้รวดเร็วกว่าเครื่องเลเซอร์ และได้คุณภาพการพิมพ์สูงเทียบเท่า เพราะจากการสำรวจวิจัย พบว่า เป็นความต้องการเชิงลึกของผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่ต้องการต้นทุนการพิมพ์ต่อแผ่นที่ต่ำ ขณะเดียวกันก็ต้องการความรวดเร็วในการพิมพ์ด้วย โดยเอปสันเชื่อว่า หากสามารถชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพดังกล่าวได้ จะทำให้ลูกค้าองค์กรเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้ “Laser Printer” มาสู่ “Inkjet Printer” นั่นเอง
ผลิตภัณฑ์ “Inkjet Printer” ที่ใช้ในการบุกตลาดจากนี้ จะออกเป็น 3 ซีรีส์ ทั้งหมด 7 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Epson ME Office เป็น “All in one Printer” ที่มีขนาดเล็ก Epson K-Series เป็น “Monochrome Inkjet Printer” เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการพิมพ์เอกสารขาวดำ และ Epson WorkForce Pro Series สำหรับรองรับธุรกิจระดับ SMB ถึงองค์กรขนาดใหญ่ ที่มีงานพิมพ์จำนวนมาก
นอกจากนี้ การขยายเครือข่ายร้านตัวแทนจำหน่ายก็มีเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เข้าถึงธุรกิจของลูกค้า และครอบคลุมทุกพื้นที่มากยิ่งขึ้น
สำหรับการรุกตลาดพรินเตอร์กลุ่มองค์กรในครั้งนี้ ทาง Epson หวังว่า นวัตกรรมอิงก์เจ็ตใหม่จะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโต 10% ต่อเนื่องถึงปีหน้า พร้อมกับสร้างการเติบโตให้กับ Epson ในระยะยาวด้วย