สรุปข่าวไอทีที่น่าสนใจประจำวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2555 ครับ
Microsoft ทุ่ม 100 ลบ. ลุยตลาดคอนซูเมอร์ !!!
ไมโครซอฟท์ เปิดแคมเปญ ‘Microsoft, Greath Time Together’ หวังลุยตลาดคอนซูเมอร์ เบื้องต้นใช้งบ 30 ล้านบาททำโฆษณาโทรทัศน์ ส่วนทั้งปีวางงบทำตลาดกว่า 100 ล้านบาท พร้อมดึง ซิงกูล่า ช่วยโปรโมทแคมเปญ ในกลุ่มผลิตภัฑณ์ วินโดวส์ 7 และ ออฟฟิศ 2010
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แคมเปญดังกล่าวถือเป็นโกลบอลล์ แคมเปญ ที่จัดขึ้นกว่า 35 ประเทศทั่วโลก เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในกลุ่มคอนซูเมอร์ ให้หันมาสนใจผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ และเข้าถึงการใช้งานที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น
“ในช่วงไตรมาสแรก เราใช้งบกว่า 30 ล้านบาท เฉพาะโฆษณาบนโทรทัศน์ ยังไม่รวมกับช่องทางการสื่อสารอื่นๆแบบ 360 องศา และสื่อใหม่อย่างโซเชียลเน็ตเวิร์กด้วย ทำให้คาดว่าทั้งปีนี้ อาจใช้งบกับแคมเปญนี้ราว 100 ล้านบาท”
โดยปัจจุบัน สัดส่วนรายได้ระหว่างลูกค้าในกลุ่มลูกค้าองค์กรของไมโครซอฟท์ อยู่ประมาณ 60% ส่วนอีก 40% จะอยู่ในกลุ่ม SOHO และคอนซูเมอร์ ซึ่งจากแคมเปญดังกล่าวเชื่อว่าจะทำให้สัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นมากลายเป็น 50% ได้ในอนาคต
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังได้วง Singular มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพื่อสื่อสารให้แคมเปญเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมเพลงธีมของแคมเปญ “Second Chance” เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจผลิตภัณฑ์ไมโครซอฟท์อย่างวินโดวส์ 7 และไมโครซอฟท์ ออฟฟิศ 2010 มากขึ้น
“จุดประสงค์หลักของแคมเปญนี้ คือต้องการสื่อไปยังกลุ่มผู้บริโภคราว 5 – 6 ล้านคน ที่อาจยังไม่เข้าใจความสามารถของวินโดวส์ 7 และ ออฟฟิศ 2010 ทั้งการใช้งานในชีวิตประจำวัน ร่วมกับการทำงาน เพราะในอนาคต เมื่อเกิดการคอนซูเมอไรเซชัน ไอที จะทำให้ลูกค้าที่ในกลุ่มคอนซูเมอร์ และองค์กร กลายเป็นกลุ่มเดียวกันในที่สุด”
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้งานซอฟต์แวร์ลิขสิทธ์มากขึ้น จากความสามารถของผลิตภัณฑ์ที่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เพื่อใช้งานในระบบคลาวด์ ซึ่งในจุดนี้ซอฟต์แวร์ผิดลิขสิทธ์จะไม่สามารถเข้าไปใช้งานได้
Cisco เปิดตัว Linksys X-Series หวังยกระดับ Home Network !!!
ซิสโก้ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Linksys X-Series ผลิตภัณฑ์ไร้สายภายในบ้านรุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมคาดหวังจะยกระดับการใช้งานในรูปแบบ Home Network ชูดจุดขายล้ำสมัย ใช้งานง่าย ดีไซน์สวย และผู้ปกครองดูแลควบคุมได้เอง
นายบีพี ตัง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชีย กลุ่มผลิตภัณฑ์ซิสโก้คอนซูเมอร์ กล่าวว่า ผลประกอบการปีที่แล้วของซิสโก้ถือว่าค่อนข้างเสมอตัว ทั้งนี้ซิสโก้เองก็ได้รับผลประทบจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เฉกเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ แต่ในปี 2555 ซิสโก้เชื่อว่าบริษัทจะสามารถเติบโตสูงขึ้นด้วยจากปัจจัยในโครงการ One Tablet per Child ที่ซิสโก้จะมีส่วนร่วมในฟีเจอร์ Parental Control ที่ผู้ปกครองจะสามารถควบคุมการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตของลูกหลานผ่านอุปกรณ์ Tablet เพื่อไม่ให้เข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมต่างๆ
“ช่วงทีเกิดน้ำท่วม ความต้องการผลิตภัณฑ์ไร้สายภายในบ้านเพิ่มสูงขึ้น จากความต้องการของพนักงานที่ไม่สามารถเข้าออฟฟิศได้ ดังนั้นจึงสามารถช่วยเพิ่มยอดขายของซิสโก้กลับคืนมาได้ส่วนหนึ่ง”
ส่วนในอนาคตรูปแบบการใช้งาน Home Network จะมาพร้อมกับเทรนด์การใช้งาน Smart Device กำลังก่อตัวขึ้น ผู้ใช้งาน Smart Device หนึ่งคนต่างมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถเชื่อมต่อเข้าใช้งานเครือข่ายภายในบ้านมากกว่า 1 ชิ้น
“ในขณะนี้อุปกรณ์ไฮเทคทั้ง Smart Phone, Tablet รวมไปถึงกลุ่ม Smart TV เครื่องเล่นบลูเรย์ และเกมคอนโซลกำลังเป็นที่นิยมในตลาด และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าผู้บริโภคไม่ได้มีอุปกณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพียงอุปกรณ์เดียว ดังนั้นผู้บริโภคย่อมต้องการโฮมเน็ตเวิร์กที่มีความเสถียร ประสิทธิภาพดีเยี่ยม และง่ายต่อการติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้งานระดับใดก็ตามสามารถติดตั้งได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ซิสโก้ได้พัฒนา Mobile Application ที่ชื่อว่า Cisco Consumer Product ใช้สำหรับจัดการอุปกรณ์ไวร์เรสของซิสโก้ โดยสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่านแอป สโตร์ และ Android Market”
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลว่าตลอด 12 เดือนที่ผ่านมายอดจำหน่าย Smart TV ในเอเชียเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจำนวนราว 1.1 ล้านยูนิต ซึ่งถือว่าน้อยมากถ้าหากเทียบกับประชากรทั้งในภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งซิสโก้เชื่อว่าด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพของซิสโก้จะทำให้ยอดการใช้งานสมาร์ททีวีเติบโตขึ้นได้
นายอำนาจ มีมงคล ผู้จัดการฝ่ายขาย ซิสโก้ คอนซูเมอร์ โปรดัคต์ ได้กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง X-Series ว่าเป็นอุปกรณ์ไร้สายที่เป็น all-in-one สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ADSL รวมไปถึงเคเบิล อินเทอร์เน็ต ที่อุปกรณ์ all-in-one ที่มีขายในท้องตลาดขณะนี้ยังไม่มีพอร์ตดังกล่าวมาให้
“นอกจาก X-Series แล้ว ซิสโก้มีผลิตภัณฑ์ใหม่ RE1000 ที่มีความสามารถในการขยายสัญญาณเราเตอร์ให้ครอบคลุมทั่วทั้งบ้าน โดยภายในอุปกรณ์จะมีพอร์ตแลนให้อีก 1 พอร์ตเพื่อสำหรับรองรับผลิตภัณฑ์ที่เป็น Internet TV ทั้งนี้ RE1000 จะจำหน่ายในราคา 2,650 บาท”
สำหรับ Linksys X-Series พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยมีราคาเปิดตัวที่ 3,450 บาท สำหรับรุ่น Linksys X2000 และราคา 4,500 บาท สำหรับรุ่น X3000 ซึ่งถือว่าเป็นไวเรส เราเตอร์ ที่จัดอยู่ในระดับพรีเมียมที่สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง ADSL และเคเบิลบนเครื่องเดียว อีกทั้งยังเป็นไดทั้งเราเตอร์ และโมเด็มเราเตอร์
“Motorola – Lenovo” อาสาประเดิมผลิต Smart Phone พกหัวใจ Intel !!!
Intel ควง Motorola และ Lenovo ทำสัญญาใจระยะยาวเพื่อผลิต Smart Phone และ Tablet ร่วมกัน ขีดเส้นวางจำหน่าย Smart Phone ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่ใช้ชิปอินเทลตัวแรกภายในปีนี้ ย้ำจะขยายความร่วมมือกับผู้ผลิตในวงการ Smart Phone อย่างจริงจัง แต่คนไทยยังต้องรอเพราะทั้ง 2 รายแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะบุกตลาดสหรัฐฯและจีนก่อน เท่ากับมีโอกาสสูงมากที่คนไทยจะยังไม่เห็นผลิตภัณฑ์ Smart Phone Intel ในไทยภายในปีนี้
พอล โอเทลินี (Paul Otellini) ซีอีโออินเทล กล่าวในงานแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค Consumer Electronics Show (CES 2012) ซึ่งเริ่มจัดขึ้นที่ลาสเวกัสเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา ว่า Intel ได้เซ็นสัญญากับโมโตโรล่า (Motorola) และเลอโนโว (Lenovo) เพื่อผลิตสินค้ากลุ่ม Tablet และ Smart Phone ซึ่งใช้ชิปของ Intel โดย Lenovo จะวางจำหน่าย Smart Phone ที่ใช้ชิปรุ่นล่าสุดของ Intel ในตลาดจีนได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีนี้ ขณะที่ Motorola จะสามารถวางตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี
การประกาศชื่อพันธมิตรในตลาด Smart Phone ของ Intel นั้นมีนัยสำคัญ เนื่องจาก Intel นั้นถูกวิจารณ์อย่างมากว่าไม่ประสบความสำเร็จในตลาด Smart Phone ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะเร่งมือพัฒนาชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ที่ตัวเองมีให้เหมาะกับการใช้งานใน Smart Phone มากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควรเพราะไม่สามารถประหยัดพลังงานได้แบบที่ชิปเจ้าตลาด Smart Phone อย่าง ARM ทำได้
การเป็นพันธมิตรกับ Motorola และ Lenovo จึงเป็นเหมือนเดิมพันที่ Intel ตั้งความหวังไว้กับชิปตระกูลล่าสุด “Medfield” ซึ่ง Intel การันตีว่าสามารถแข่งขันกับ Smart Phone รุ่นอื่นที่ใช้ชิปสถาปัตยกรรม ARM ได้อย่างสบาย จุดนี้เดฟ วาเลน (Dave Whalen) รองประธานฝ่ายสถาปัตยกรรม Intel ให้สัมภาษณ์ถึงรายละเอียดความร่วมมือที่เกิดขึ้นว่าเป็นสัญญาระยะยาวที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์หลายกลุ่มทั้ง Smart Phone และ Intel ซึ่งทั้ง Intel และพันธมิตรจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกันโดยเฉพาะในแง่เทคโนโลยี
เฉพาะความร่วมมือระหว่าง Intel และ Motorola ผู้บริหารอินเทลย้ำว่า Smart Phone Motorola ที่ใช้ชิป Intel จะเริ่มวางตลาดสหรัฐฯได้ในครึ่งปีหลังของปี 2012 ซึ่งคาดว่าอิทธิพลในตลาดสหรัฐฯของ Motorola จะช่วยให้ Intel สามารถขยายตลาดชิป Medfield ใน Smart Phone ได้แบบก้าวกระโดด
ชิป Medfield นั้นเป็นหน่วยประมวลผลที่ Intel การันตีว่าได้รับผลการทดสอบระดับดีเยี่ยม สำหรับ Motorola นั้น Intel ร่วมมือในหน่วยธุรกิจ Motorola Mobility ซึ่งถูก Google ซื้อบริษัทไป จุดนี้ทำให้ Intel ระบุว่าจะร่วมมือกับเจ้าพ่อ Android อย่าง Google อย่างใกล้ชิด และมั่นใจว่าจะสามารถสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างให้กับชิปที่ Intel เตรียมแจ้งเกิดใน Android Smart Phone ได้
ขณะที่ความร่วมมือกับ Lenovo นั้นเป็นส่วนขยายออกมาจากที่ Intel เคยร่วมมือในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล โดย Lenovo ซึ่งมีดีกรีเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีอันดับ 2 ของโลก จะเริ่มหันมาทำตลาด Smart Phone ในบ้านเกิดก่อนจะบุกตลาดสหรัฐฯช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้เช่นกัน
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้เรียกความสนใจจากนักสังเกตการณ์ทั่วโลก โดยเฉพาะนักลงทุนที่จับตาการบุกตลาด Smart Phone และอุปกรณ์พกพาของ Intel ครั้งนี้ว่าจะล้มหรือลุก เนื่องจากตลาดอุปกรณ์พกพานั้นขยายตัวสวนทางกับการชะลอตัวของตลาดคอมพิวเตอร์พีซีที่ Intel เป็นเจ้าตลาดอยู่ โดยเบื้องต้น มีรายงานว่ามูลค่าตลาดชิปสำหรับ Smart Phone นั้นทะลุ 2.24 พันล้านเหรียญในช่วงไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยหากเทียบกับ 1.47 หมื่นล้านเหรียญที่ Intel ทำได้ในไตรมาสเดียวกัน
บริษัทวิจัย ไอเอชเอสไอซัปพลาย ประเมินว่าตลาด Smart Phone จะเติบโตอีก 32% ในปีนี้ (2012) ถือเป็นอีกตัวเลขยืนยันแนวโน้มสดใสของตลาด Smart Phone ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม Intel นั้นเคยประกาศความร่วมมือลักษณะนี้กับแอลจีอิเล็กทรอนิกส์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยระบุว่าจะทำตลาด Smart Phone ที่ใช้ชิป Intel เช่นกัน แต่กลับไม่แจ้งเกิดผลิตภัณฑ์ใดสู่ตลาด ซึ่งผู้บริหาร Intel เชื่อว่าความร่วมมือนี้จะไม่ซ้ำรอย LG แน่นอน
กสทช. แนะผู้บริโภคฟ้อง สคบ.เรียกค่าเสียโอกาสได้กรณีเครือข่ายมือถือล่ม !!!
กสทช.ชี้ลูกค้า Dtac เรียกร้องค่าเสียได้ทางแพ่งได้ หากฟ้องสคบ. ด้าน กมธ. พอใจหลัง Dtac เข้าพบชี้แจงเครือข่ายล่ม 3 ครั้งรวด พร้อมเร่งกสทช.ออกกฏเอาผิดผู้ให้บริการหากมีกรณีดังกล่าวอีก
น.พ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมฟังการชี้แจงของบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ Dtac กรณีที่เครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ Dtac ล่มถึง 3 ครั้งในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ต่อคณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค
สภาผู้แทนราษฎร์ที่มีนายอนุสรณ์ ปั้นทอง เป็นประธานว่า ในเบื้องต้น Dtac ได้จ่ายเงินชดเชยให้กับลูกค้าทุกรายที่ได้รับผลกระทบจากเหตุเครือข่ายล่มทั้ง 3 ครั้ง
โดยแบ่งเป็นในครั้งแรกที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคมปีที่แล้ว มีลูกค้าได้รับผลกระทบประมาณ 20 ล้านราย คิดเป็นเงินที่ Dtac จะต้องชดเชยประมาณ 300 ล้านบาท ครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 มกราคม ที่ผ่านมา ซึ่งลูกค้าได้รับผลกระทบประมาณ 1.8 ล้านราย คิดเป็นเงินชดเชยประมาณ 50 ล้านบาท และครั้งที่สามเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา มีลูกค้าได้รับผลกระทบราว 2 ล้านราย คิดเป็นเงินชดเชย 50 ล้านบาทโดยประมาณ โดยรวมทั้ง 3 ครั้งคิดเป็นเงินที่ Dtac จะต้องชดเชยให้ลูกค้าประมาณ 400 ล้านบาท
ในเรื่องของการชดเชยค่าเสียโอกาสนั้น ทางคณะกรรมาธิการมองว่า เป็นเรื่องทางแพ่ง ซึ่งหากลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบต้องการเงินชดเชยในส่วนนี้ก็จะต้องทำเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นผู้ดำเนินการ ล่าสุดมีลูกค้าที่ได้รับผลกระทบเข้ามาเป็นผู้ยื่นเรื่องต่อสคบ. เพียงรายเดียวเท่านั้น
นายแพทย์ประวิทย์กล่าวเสริมว่า แนวทางในการจ่ายค่าชดเชยนั้น ทาง Dtac ชี้แจงว่า ถ้าเป็นในส่วนของลูกค้าประเภทเติมเงิน ทาง Dtac จะคืนเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงระหว่างที่เครือข่ายล่มเข้าสู่ระบบ และในส่วนลูกค้าแบบรายเดือน Dtac จะนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในช่วงดังกล่าวคืนเป็นเครดิตให้กับลูกค้าในรอบบิลของเดือนถัดไป
ด้านนายอนุสรณ์ ปั้นทอง ประธานกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร์ (กมธ.) เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคพอใจกับการชี้แจงของ Dtac โดยได้ชี้แจงว่ามาจากความผิดปกติของซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ที่ Dtac นำมาใช้งาน เนื่องจากไม่เหมาะสมกับการใช้งานในประเทศไทยจึงเกิดการทำงานผิดปกติจนนำไปสู่เครือข่ายขัดข้องในที่สุด ซึ่งทาง Dtac สัญญาว่าจะไม่ให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นอีก
ขณะที่มาตรการเยียวยาชดเชยให้แก่ลูกค้าด้วยการคืนค่าโทรศัพท์รวม 3 ครั้งเป็นมูลค่า 400 ล้านบาทซึ่งในเบื้องต้นคณะกรรมาธิการเห็นว่าเหมาะสมแล้ว
ทั้งนี้กระบวนการต่อไปที่ทางกมธ.จะทำคือ การเร่งให้กสทช.จัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแล และคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมทุกด้าน ทั้งการป้องกันและรองรับการเกิดปัญหาเครือข่ายล่ม รวมไปถึงการคิดค่าบริการ ตลอดจนปัญหาข้อความขยะ (Spam SMS) ต่อไป